ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม คุณพ่อคุณแม่ลองหากิจกรรมให้ลูกเริ่มจากกิจกรรมจิตอาสาง่าย ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเสียทอง เพียงแต่ให้เขาได้เห็นคุณค่าของการมีจิตอาสา ซึ่งพ่อแม่ก็สามารถปลูกฝังลูกได้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันได้ไปร่วมเป็นอาสาสมัครมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (Princess Mother’s Medical Volunteer) หรือมูลนิธิ พอ.สว. เดินทางขึ้นดอยไปลงพื้นที่ที่แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายเพื่อไปช่วยเหลือกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกลชนบท และพื้นที่ทุรกันดาร
ทีมที่ลงพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครที่ต้องเดินเท้าขึ้นดอย เพราะพื้นที่ยังอยู่ไกลปืนเที่ยงมาก พอเข้าถึงพื้นที่ทุกคนต่างก็เอาตัวเข้าไปอยู่ในงานทันที ใครถนัดอะไรก็จัดหาพื้นที่และลงมือปฏิบัติการ บางคนรับหน้าที่ลงทะเบียนซักประวัติ ผู้เป็นแพทย์ก็แบ่งพื้นที่กันเพื่อที่จะรับผู้ป่วยที่ทยอยเข้ามารับการรักษา เรียกว่า ทุกคนจะทำหน้าที่ของตัวเองชนิดที่ไม่ต้องมีใครมาคอยสั่งการหรือแบ่งงาน ในขณะที่ชาวบ้านเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันเวลาดังกล่าว เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่แพทย์จะเข้าไปหาถึงในหมู่บ้าน ต้องรอกันเป็นปีทีเดียว
การรวมตัวของบรรดาแพทย์ พยาบาล และทีมอาสาสมัคร เกิดจากจิตอาสาโดยแท้ เพราะการเดินเท้าขึ้นดอยเพื่อมารักษาผู้ป่วย ต้องอาสาสมัครมาด้วยหัวใจล้วน ๆ นอกจากจะไม่ได้ค่าตอบแทน แต่ละคนก็ต้องลางานประจำกันไป และไหนจะหนทางของการเข้าพื้นที่ก็โหดทีเดียวเชียว ต้องข้ามภูเขา ข้ามน้ำ ต้องนอนตามวัด โรงเรียน หรือบ้านชาวบ้าน เรียกว่านอนกลางดินกินกลางทรายของจริง ที่น่าชื่นใจคือบรรดาแพทย์อาสาส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ที่แม้ตัวจะทำงานประจำอยู่ในพื้นที่เมือง มีชีวิตค่อนข้างสะดวกสบายอยู่แล้ว มีรายได้ที่ดี แต่มีจิตอาสามาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
รวมไปถึงบรรดาอาสาสมัครในส่วนอื่น ๆ ที่อาสามาร่วมด้วยช่วยให้พลังจิตอาสาขยายมากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นทีมแม่ครัว ผู้เป็นกองหลังในการจัดเตรียมอาหารทุกมื้อให้กับบรรดากองหน้าที่ต้องออกหน่วย มีบรรดากลุ่มออฟโรดที่เขารวมตัวกันในชื่อกลุ่ม TG Tiger ก็เป็นการรวมตัวของบรรดาผู้ที่ชอบขับขี่รถออฟโรด และอาสามาช่วยเหลืองานของมูลนิธิ พอ.สว. ใช้ความเชี่ยวชาญในการนำพาทีมอาสาสมัครเข้าสู่พื้นที่ และเป็นหน่วยกองหลังที่คอยขนสัมภาระมากมาย เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยิ่ง
แต่เมื่อหันมามองวิถีชีวิตคนเมืองที่เราอยู่ในทุกวันนี้ ก็สะท้อนใจเหมือนกันว่า ใช่หรือไม่..เราใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอย่างเดียวหรือเปล่า เราได้คิดถึงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันบ้างไหม ไม่ว่าจะด้วยวิถีเมือง โลกแห่งทุนนิยม หรือโลกแห่งเทคโนโลยีที่ได้กลืนกินวิถีชีวิตคนเมือง ที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รักความสะดวกสบาย รักการกินอยู่ที่หรูหรา ฯลฯ รวมไปถึงการรักตัวเอง และละเลยที่จะคิดถึงผู้อื่น
สร้างจิตอาสาด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ได้แก่
ประการแรก – เริ่มจากให้ฝึกตัวเองก่อน
ถือโอกาสช่วงเวลาปิดเทอม ควรฝึกให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเอง ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ฝึกให้เขารับประทานอาหารเอง แต่งตัวเอง หรือสอนให้รู้จักทำความสะอาดร่างกายของตัวเอง ถ้าเป็นเด็กโตก็เพิ่มภารกิจให้เหมาะกับวัยที่เพิ่มมากขึ้น ให้รับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาพึ่งพาตัวเองได้ เกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและรู้สึกดีกับตัวเอง ที่สำคัญ การที่ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองจะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
ประการที่สอง – ฝึกให้อาสาในบ้าน
พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักบทบาทของตัวเอง ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าสมาชิกทุกคนในบ้านมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกัน ควรมอบหมายให้ลูกช่วยเหลืองานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ให้ช่วยเก็บกวาดบ้าน ช่วยรดน้ำต้นไม้ ช่วยเก็บของ โดยดูวัยของลูกเป็นหลัก โดยพ่อแม่เองก็ต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เขาเรียนรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง และผู้อื่น
ประเด็นสำคัญต้องทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ และพ่อแม่ก็ควรจะพูดให้เขาได้เห็นว่าเมื่อลูกมาช่วยเหลือแล้วทำให้พ่อแม่เบาแรง หรือช่วยเหลือพ่อแม่ได้มาก
ประการที่สาม – ขยายจิตอาสาไปสู่ชุมชน
พ่อแม่ควรสอนให้เขารู้จักแบ่งปันตั้งแต่ในบ้าน พอเขาได้เล่นกับผู้อื่น สิ่งที่ติดตัวมาจะทำให้เขาได้เรียนรู้การแบ่งของเล่นให้เพื่อน หรืออาจชวนลูกไม่ให้ดูดายต่อสิ่งรอบข้าง เช่น เมื่อเห็นขยะอยู่หน้าบ้านหรือที่โรงเรียนก็ชวนลูกเก็บให้เป็นที่เป็นทาง รักษาสมบัติสาธารณะ ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ประการที่สี่ – สร้างจิตอาสาสู่สังคม
การพัฒนาจิตใจที่จะแบ่งปันไปสู่ผู้อื่นสามารถทำได้ ถ้าได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นการพัฒนาจิตใจของตัวเองด้วย พ่อแม่ควรชี้ให้ลูกเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นแค่ไหน คนที่ได้รับการช่วยเหลือจะมีความสุขอย่างไร เพื่อให้เขาได้เห็นเป็นรูปธรรมว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเกิดผลดีต่อผู้อื่นอย่างไร
เริ่มต้นง่าย ๆ จาก 4 ประการนี้จะช่วยสร้างให้ลูกเห็นสังคมเห็นโลกมากขึ้น ซึ่งจะมีผลเปลี่ยนแปลงตัวลูกเองในอนาคต แต่จะเปลี่ยนแปลงลูกได้ต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเองของพ่อแม่ก่อนด้วยนะคะ
ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ เรื่องโดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน